เขียนเมื่อ มกราคม 2551 (ยังไม่ได้ซื้อบ้านที่หัวหิน)
เรายังคงผูกพันอยู่กับหัวหิน ปีนึงปีนึง เราพี่น้องสลับกันไปเที่ยวไปนอนไปกินอยู่หัวหิน ไม่ต่ำกว่า 5-6 ครั้ง ถึงขนาดหน่อยกับน้าอุ้ยซื้อ Condo อยู่เขาตะเกียบ เสียดายที่พ่อไม่ได้อยู่เห็นความรุ่งเรืองของลูกสาวคนเล็ก ส่วนชั้นกับครอบครัวก็มักไปนอนอยู่ Majestic เป็นประจำ มีครั้งนึงได้ไปนอนห้อง Suit ติดทะเล ตื่นเช้าขึ้นมาก็เห็นพระอาทิตย์ขึ้นโดยไม่ต้องลุกออกจากที่นอน ทำให้นึกถึงตอนที่มาหัวหินกับพ่อเมื่อยังเล็กอยู่
พ่อมักเรียกให้พวกเราตื่นกันแต่เช้าเพื่อเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเล ในมุมนึงมันอาจเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ซึ่งคนอื่นอาจไม่ได้สนใจ แต่พ่อได้สอนให้เรารู้จักอีกมุมมองนึงของชีวิตว่า ถ้าเรารู้จักแสวงหา.... ความสุขก็ไม่ได้อยู่ไกลจนเกินจะเอื้อม และการแสวงหานั้นก็ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมากมายนัก การเฝ้ามองดูแสงแรกของตะวัน สาดส่องสู่โลกทำให้เรารู้จักกับสัจธรรมและรู้จักคิดอะไรได้มากมาย สุดแต่ว่าใครจะเห็นถึงความหมายของมันอย่างไร
เมื่อถึงเวลาเล่นน้ำทะเล (หลังจากพ่อตื่นนอนตอนบ่ายแล้ว) พ่อมักพาเราเดินไปตามทางที่ขรุขระคดเคี้ยวเพื่อไปยังชายทะเลที่อยู่ไกลออกไป นอกจากต้องเดินผ่านทางที่ “ย่ำแย่” และ “ไกลโข” แล้ว เราต้องเดินข้ามทางน้ำเล็ก ๆ ก่อนไปถึงชายหาด ซึ่งชั้นเกลียดขั้นตอนนี้มาก มันเป็นทางน้ำที่พ่อเรียกมันว่าลำประโดง ซึ่งชั้นคิดเอาเองว่า น้ำที่ไหลมานั้นคงเป็นน้ำเสียที่ออกมาจากบ้านเรือนต่าง ๆ แล้วทิ้งลงสู่ทะเล ถึงแม้มันจะเป็นน้ำใส ๆ ไม่ได้ดูสกปรกอะไรมากมาย และต้องไหลลงไปรวมกันอยู่ในทะเล และเราก็ต้องลงไปแช่อยู่ในน้ำนั้นอยู่แล้วก็ตามที แต่จำได้ว่า ชั้นจะพยายามกระโดดข้าม หรือไม่ก็มองหาขอนไม้หรือลูกมะพร้าว เพื่อเหยียบลงไปบนเจ้าสิ่งนั้น แทนที่จะต้องย่ำลงไปซึ่งจะทำให้เท้าและขาของชั้นต้องแช่ลงไปในน้ำ แต่พ่อจะไม่ใส่ใจกับมันมากนัก เพราะพ่อจะย่ำลงไปในทางน้ำเหมือนมันเป็นทางเดินธรรมดาที่เราเดินมาตลอดทาง แล้วมุ่งสู่ชายหาดที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้า
พอไปถึงหาด เราจะวางสัมภาระต่าง ๆ ไว้บนพื้นทราย แล้วก็เดินเก็บเปลือกหอยกันไปตามชายหาด เมื่อยังเด็ก แม่มักมาทะเลกับเราด้วย ชั้นยังไม่เคยเห็นแม่เล่นน้ำทะเลเลยซักครั้ง แม่มักมาเดินเล่นเก็บเปลือกหอยหรือไม่ก็นั่งคุยกับพี่ ๆ ลูกของลุงดูพวกเราเล่นน้ำ ในตอนนั้นทะเลหัวหินมีหอยทับทิมมากมายกระจายเกลื่อนอยู่ตามหาด
เราก็จะเลือกเก็บเฉพาะตัวที่มีขนาดใหญ่และสีเข้มจัด เพราะมันจะดูมีค่ามากกว่าเจ้าตัวเล็ก ๆ สีชืด ๆ เหล่านั้น ซึ่งดูธรรมดาไม่น่าสนใจ จนกว่าเราจะกวาดตาไปเจอเข้ากับเปลือกหอยจุ๊บแจงตัวสวย
คนที่เจอมักร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้น เพราะเราจะไม่พบเห็นมันบ่อยนักโดยเฉพาะตัวที่ไม่มีรอยแตกหักเสียหาย บางครั้งพ่อจะเก็บเอาเปลือกหอยรูปร่าง กลม มน ผิวเกลี้ยง ๆ แล้วก็มีสีเข้มเป็นจุดกลมอยู่ตรงกลางเหมือนลูกกะตามาให้ พ่อบอกว่ามันคือหอยตาวัว “หายากนะ” นั่นเป็นการเน้นย้ำให้เราเก็บมันไว้และใส่ลงในถุงเป็นอย่างดี แต่ก็ยังสงสัยอยู่จนทุกวันนี้ว่า มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเปลือกหอยหรือเปล่า เพราะรูปร่างหน้าตามน ๆ เกลี้ยง ๆ ไม่มีช่องหรือโพรงพอที่จะให้ตัวหอยเข้าไปอาศัยอยู่ได้ซักนิด ปัจจุบัน ชายหาดหัวหินไม่มีหอยทับทิมให้เห็นดาษดื่นเหมือนที่เคยเป็น ไม่น่าเชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงอันน่าใจหายนี้จะเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาไม่นานเลย
คนที่เจอมักร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้น เพราะเราจะไม่พบเห็นมันบ่อยนักโดยเฉพาะตัวที่ไม่มีรอยแตกหักเสียหาย บางครั้งพ่อจะเก็บเอาเปลือกหอยรูปร่าง กลม มน ผิวเกลี้ยง ๆ แล้วก็มีสีเข้มเป็นจุดกลมอยู่ตรงกลางเหมือนลูกกะตามาให้ พ่อบอกว่ามันคือหอยตาวัว “หายากนะ” นั่นเป็นการเน้นย้ำให้เราเก็บมันไว้และใส่ลงในถุงเป็นอย่างดี แต่ก็ยังสงสัยอยู่จนทุกวันนี้ว่า มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเปลือกหอยหรือเปล่า เพราะรูปร่างหน้าตามน ๆ เกลี้ยง ๆ ไม่มีช่องหรือโพรงพอที่จะให้ตัวหอยเข้าไปอาศัยอยู่ได้ซักนิด ปัจจุบัน ชายหาดหัวหินไม่มีหอยทับทิมให้เห็นดาษดื่นเหมือนที่เคยเป็น ไม่น่าเชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงอันน่าใจหายนี้จะเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาไม่นานเลย
พอเดินเก็บเปลือกหอยไปไกลจนเริ่มเมื่อย เราก็มักชวนกันลงเล่นน้ำทะเล คราวนี้ ถึงเวลาที่เจ้าห่วงยางจอมปัญหาจะกลายเป็นของเล่นชิ้นพิเศษ ที่คนที่เล่นน้ำอยู่ใกล้พวกเราไม่มีใครมีและไม่มีใครอีกแล้วที่จะสนุกสนานได้เหมือนพวกเรา เราจะรู้สึกรักใคร่มันอย่างไม่เคยเป็น (ต่างกับความรู้สึกในตอนที่แบกอุ้มมันมาจากบ้านอย่างลิบลับ) มันทำให้เราสนุกสนานอยู่เหนือเกลียวคลื่นอย่างไม่รู้เบื่อ ความรู้สึกนี้คงคล้ายกับเด็กที่ได้เล่น Slider ในยุคนี้ แต่ในยุคของเรา แค่นี้.........ก็สนุกอย่างที่สุดและไม่เคยคิดว่าจะมีอะไรสนุกสนานเท่านี้อีกแล้ว
เราดำผุดดำว่าย ลอยคออยู่อย่างนั้น ภาพที่เห็นจนชินตาก็คือเราจะเอามือข้างนึงเกาะเกี่ยวห่วงยางอันใหญ่สีดำอยู่ด้วยกันตลอดเวลา เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่จมลงไปเมื่อคลื่นลูกใหญ่โถมเข้ามาหา บางครั้งพ่อก็ว่ายน้ำออกไปไกลโดยลากเอาเจ้าห่วงยางอันใหญ่ที่มีพวกเราเกาะกันเป็นพรวนออกไปด้วย พวกเราจะร้องโวยวายบอกพ่อว่าให้พอได้แล้ว เราออกมาไกลและน้ำก็ลึกมากแล้ว แต่พ่อกลับสนุกที่ได้แกล้งพวกเราอย่างนั้น พ่อว่ายน้ำลากห่วงยางออกไปในทะเลอีกพร้อมกับหัวเราะสนุก พร้อมกับทำเสียง พุ้ย พุ้ย เพื่อพ่นน้ำทะเลออกจากปากตลอดเวลา
บางทีเราก็เบื่อที่ต้องเกาะเกี่ยวอยู่บนห่วงยาง พ่อก็จะสอนวิธีเล่นน้ำทะเลแบบใหม่ให้เรา คือการโต้คลื่นอยู่ริมหาด โดยเลือกยืนในทำเลที่คลื่นแรงที่สุด แล้วเมื่อคลื่นลูกใหญ่โถมเข้ามา เราจะเอนหลังเข้าใส่ให้คลื่นกระแทกตัวเราอย่างสนุกสนาน นี่แหละ...”ความสุขที่มีอยู่รอบตัว” ……....
เมื่อเวลาแห่งความสนุกสนานสิ้นสุดลง ความ “เซ็ง” ก็จะเข้ามาแทนที่ในบัดดล เมื่อเราก้าวขึ้นจากทะเล อากาศรอบข้างเริ่มเย็นลงเนื่องจากพระอาทิตย์ยอแสงลงมากแล้ว ลมทะเลยังคงพัดปลิวอยู่เหมือนเคย แต่เรารู้สึกเหมือนว่าลมมันพัดแรงมากกว่าเมื่อตอนเราเดินเก็บเปลือกหอยกันอยู่ เนื้อตัวเหนียวไปด้วยน้ำทะเล ผมเผ้าที่ปลิวเพราะแรงลม ติดหนึบอยู่ตามใบหน้า ตามแก้มและลำคอ บ่อยครั้งที่เราพยายามจะไม่สนใจและปล่อยให้มันเกาะหนึบอยู่อย่างนั้น แต่ในที่สุดเราก็ทนความรำคาญไม่ไหว ต้องเอามือข้างที่ว่างอยู่ (ถ้าเราต้องเป็นคนแบกห่วงยางหรือถือเสื้อผ้าที่ยังไม่เปียก) มาแกะเอาผมเจ้ากรรมนั้นออกจากเนื้อตัวหน้าตา เพื่อให้พ้นจากความรำคาญนั้นเสียที แต่ก็เป็นเพียงชั่วคราว เพราะไม่นานนักมันก็จะปลิวมาติดหนึบบนหน้าเราอีกจนได้
เราต้องเดินย่ำไปบนทางน้ำไหลอีกครั้งเพื่อกลับบ้าน ชั้นต้องกลับมารู้สึกแขยงกับความสกปรกเนื่องจากคิดถึงที่มาของน้ำที่ไหลผ่านไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้บางทีมันก็มีความรู้สึก “ดี” ปนอยู่ด้วย เป็นความรู้สึก “ดี” ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่แล้วหายไป ชนิดที่ถ้าไม่สังเกตก็คงไม่รู้ อาจเป็นเพราะความหนาวจากตัวเปียกและลมแรง เมื่อได้มาสัมผัสกับความอุ่นของน้ำที่เราย่ำผ่าน ทำให้เรารู้สึก “เหมือน” จะดีขึ้นมาซักนิดหนึ่ง ถึงแม้ไม่ใช่ความรู้สึกประทับใจยิ่งใหญ่อะไร แต่มันก็จะทำให้จดจำรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผ่านมาได้ถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันทางระบายน้ำเล็ก ๆ ก่อนออกสู่ทะเลนี้ คือส่วนหนึ่งของสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตต์ เป็นสวนสาธารณะติดทะเลแห่งหนึ่งของหัวหิน น่าแปลกใจที่ยังมีที่ดินติดทะเลที่เป็นที่สาธารณะขนาดใหญ่แบบนี้
เราต้องเดินตัวเหนียวอย่างนั้นไปอีกไกลกว่าจะกลับถึงบ้าน บางครั้งเราอยากถอดไอ้เจ้ารองเท้าแตะที่ใส่เดินมาจากบ้านแล้วหิ้วมันไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่เพราะพื้นดินที่เราเดิน มันไม่มีความราบเรียบเกลี้ยงเกลาให้เราเดินเท้าเปล่าได้เลย แถมหินที่โผล่ตะปุ่มตะป่ำขึ้นมาจากพื้นดิน รากหญ้าที่แข็ง และกรวดทราย รวมทั้งพงหนามของต้นไม้แห้ง ทำให้เราต้องทนใส่รองเท้าแตะน่ารำคาญนั้นมาตลอดทาง นอกจากมันจะเปียกน้ำทะเลจนเหนอะหนะไม่น่ารื่นรมณ์แล้ว มันยังพลอยลากเอาดินทรายตามทางที่เราเดินผ่านติดขึ้นมาด้วย และในที่สุดทรายเจ้ากรรมที่ดูมีเสน่ห์เหลือหลายตอนที่เราเดินเก็บเปลือกหอยกันอยู่ริมหาด ก็จะกลับกลายเป็นสิ่งที่คอยรังควาญเราไปตลอดทาง เนื่องจากมันจะกลายเป็นก้อนน่ารำคาญอยู่ระหว่างฝ่าเท้ากับรองเท้าแตะคีบสีน้ำเงินคู่กาย
แล้วก็ยังมีเจ้าห่วงยางสีดำอันใหญ่ ซึ่งตอนขามาเราช่วยกันแบกหามมันจากบ้านอย่างทุลักทุเลแต่เปี่ยมไปด้วยความรักใคร่ แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นภาระอันหนักอึ้ง ที่พวกเราต้องผลัดกันแบกผลัดกันหามไปตลอดทาง ดูมันช่างเอาเปรียบเราเสียจริง ขากลับจากทะเลจึงดูเหมือนเป็นสิ่งที่พวกเรา "ไม่ชอบ" มันมากที่สุดใน Trip ฤดูร้อนที่หัวหินของพวกเรา
แล้วก็ยังมีเจ้าห่วงยางสีดำอันใหญ่ ซึ่งตอนขามาเราช่วยกันแบกหามมันจากบ้านอย่างทุลักทุเลแต่เปี่ยมไปด้วยความรักใคร่ แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นภาระอันหนักอึ้ง ที่พวกเราต้องผลัดกันแบกผลัดกันหามไปตลอดทาง ดูมันช่างเอาเปรียบเราเสียจริง ขากลับจากทะเลจึงดูเหมือนเป็นสิ่งที่พวกเรา "ไม่ชอบ" มันมากที่สุดใน Trip ฤดูร้อนที่หัวหินของพวกเรา
1 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น