บทแรก
ในวัยเด็ก ฤดูร้อนทุกปีของชั้น
เริ่มต้นเหมือน ๆ กัน...
ปิดเทอมครั้งใด พ่อจะพาพวกเราขนข้าวขนของออกเดินทาง มุ่งหน้าสู่หัวหิน เมืองตากอากาศที่มีชื่อเสียงอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย ฟังดูหรูหรามากใช่มั้ย ลองฟังต่อก่อนว่า summer trip ของชั้น so amazing ขนาดไหน
ปิดเทอมครั้งใด พ่อจะพาพวกเราขนข้าวขนของออกเดินทาง มุ่งหน้าสู่หัวหิน เมืองตากอากาศที่มีชื่อเสียงอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย ฟังดูหรูหรามากใช่มั้ย ลองฟังต่อก่อนว่า summer trip ของชั้น so amazing ขนาดไหน
รถประจำทางสีส้มแดงที่วิ่งตะบึงไปข้างหน้า ฝุ่นตลบฟุ้งตามหลังไปตลอดทาง เป็นปฐมบทการเดินทางช่วงปิดเทอมที่เริ่มเหมือนกันแทบจะทุกครั้ง
ยังจำบรรยากาศของการเดินทางโดยรถโดยสารประจำทางระหว่างจังหวัดในยุค 70 ได้หรือเปล่า ในสมัยนั้น ไม่ว่าเราอยู่ที่ตรงไหนของถนนที่รถโดยสารจะแล่นผ่าน เราสามารถโบกเพื่อขึ้นรถได้โดยไม่ต้องไปขึ้นที่สถานีขนส่งเหมือนในปัจจุบัน โดยมีพนักงานหรือที่เราเรียกกันจนชินหูว่า "กระเป๋ารถเมล์" จะเป็นผู้ทำหน้าที่คอยลากคอยดันผู้โดยสารที่โบกขึ้นรถระหว่างทาง
ในระหว่างที่รถวิ่ง กระเป๋าฯ จะประจำอยู่ประตูหน้าและหลัง ทำหน้าที่โหนอยู่ที่ข้างประตูรถ โดยเอามือและเท้า (ซึ่งต้องเป็นข้างขวา) โหนเกี่ยวอยู่กับที่ยึดข้างประตูรถแล้วปล่อยตัว แขนและขาอีกข้างหนึ่งออกไปนอกตัวรถ พร้อมกับต้องทำตัวให้โบกสะบัดไปตามแรงลม เปรียบเป็นธงสัญลักษณ์อะไรซักอย่างก็ไม่ปาน เนี่ยแหละ...กระเป๋ารถเมล์ของเมืองไทยในยุค 70
อากาศเดือนเมษาร้อนอบอ้าว หลายชั่วโมงในรถเต็มไปด้วยคนสารพัดประเภท
สัมภาระสารพัดอย่าง มีเพียงอากาศที่แหวกเข้ามาตามช่องหน้าต่างเท่านั้นที่ช่วยให้ความร้อน ความเหม็น
ความอึดอัด ผ่อนคลายลงบ้าง แต่ก็จะมีความรำคาญและน่าหงุดหงิดเป็นของแถมมาด้วย
เนื่องจากผมเผ้าจะยุ่งเหยิงพันกันและปลิวมาเกาะอยู่ตามหน้าตาที่เหนียวเหนอะหนะไปด้วยเหงื่อ บรรยากาศในรถเต็มไปด้วยฝุ่นแดง
ควันรถและกลิ่นครัชไหม้
เสียงล้อรถบดไปบนถนนตลอดทาง อย่าหวังว่ารถเมล์เก่าคร่ำสีส้มจะมีแอร์เย็นฉ่ำเหมือนรถประจำทางปรับอากาศสองชั้นทันสมัยที่วิ่งให้เห็นบนถนนทุกวันนี้
บทที่ 2
เมื่อรถแล่นผ่านชะอำมาแล้ว พ่อกับแม่ก็จะต้องปลุกเรียกชั้นกับน้องให้ตื่นจากความเหนียวเหนอะหนะและงุนงง เพื่อเตรียมสัมภาระที่เด็กตัวเล็ก ๆ เช่นพวกเราจะช่วยพ่อแม่ถือได้ รถเมล์จอดลงอย่างกระแทกกระทั้น กระเป๋าฯ ทำหน้าที่ผู้ให้บริการอย่างยอดเยี่ยม นอกจากเค้าแทบจะอุ้มคนแก่และเด็กลงจากรถแล้ว เค้ายังทำหน้าที่ปีนบันไดหลังขึ้นไปบนหลังคา แล้วก็โยนกระเป๋าของพวกเราลงมาให้คนที่รอรับอยู่ข้างล่าง ชั้นยังไม่เคยเห็นเค้าโยนพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว
รถแล่นออกไปอย่างเร่งรีบ จนบางครั้งกระเป๋าฯ (คนเดิม) ต้องวิ่งตามรถไปตั้งไกล กว่าจะเอามือและเท้าข้างเดียวกับที่โหนตอนรถวิ่ง เกี่ยวพันในท่าเดิม และรถสีส้มแดงคันนั้นก็หายลับไปท่ามกลางฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย
บ้านตากอากาศฤดูร้อนของชั้น
เป็นบ้านไม้สองชั้นใต้ถุนสูงทรง “หัวหิน” ชั้นล่างของตัวบ้านมีพื้นเป็นดินที่เรียบและแข็งมาก สามารถใช้ไม้กวาด
กวาดไปบนพื้นเพื่อขจัดใบไม้และเศษผงใหญ่ ๆ ให้บ้านดูสะอาดตาน่าอยู่ และหน้าที่ของชั้นอย่างนึงก็คือกวาดพื้น (ดิน) ชั้นล่างนี่แหละ
ด้านหนึ่งของบ้านเป็นห้องเก็บของ เก็บพวกของใช้ที่จำเป็นสำหรับการเพาะปลูก จักรยาน แล้วก้ออุปกรณ์ที่ใช้บ้างไม่ใช้บ้างรวมกันอยู่ในนั้น อีกด้านเป็นเหมือนห้องเอนกประสงค์ มีทางเดินทะลุจากหน้าบ้านไปยังหลังบ้าน ทางเข้าและทางออกเป็นช่องโล่งไม่มีประตู จะว่าไม่มีก็ไม่ถูกนัก เพราะมีบานกระทุ้งบานใหญ่ปิดเอาไว้ในตอนกลางคืน ซึ่งการเปิดจะใช้ไม้ไผ่ท่อนยาว ๆ มาดันที่ปลายแล้วผลักบาน (ซึ่งน่าจะเรียกว่าประตู) นั้นขึ้นไป แล้วใช้ปลายไม้ไผ่อีกข้างหนึ่งค้ำลงไปในดิน เพียงเท่านี้ เราก็จะมีที่วิ่งเล่นที่ไม่มีผนังหรือบานประตูใด ๆ มาขวางกั้น มีเหมือนกัน ที่วิ่งไล่กันเพลินไปชนเอาไม้ค้ำ จนบานประตูฟาดลงมาเสียงดังสนั่น หลังจากนั้นก็จะได้ยินเสียงแม่ดังกว่าเสียงประตูเมื่อกี้เสียอีก พวกเราก็เลยต้องอพยพไปในไร่แตงโมข้างบ้าน รอให้แรงระเบิดทุเลาลง ค่อยกลับมาเล่นกันต่อ
ด้านหนึ่งของบ้านเป็นห้องเก็บของ เก็บพวกของใช้ที่จำเป็นสำหรับการเพาะปลูก จักรยาน แล้วก้ออุปกรณ์ที่ใช้บ้างไม่ใช้บ้างรวมกันอยู่ในนั้น อีกด้านเป็นเหมือนห้องเอนกประสงค์ มีทางเดินทะลุจากหน้าบ้านไปยังหลังบ้าน ทางเข้าและทางออกเป็นช่องโล่งไม่มีประตู จะว่าไม่มีก็ไม่ถูกนัก เพราะมีบานกระทุ้งบานใหญ่ปิดเอาไว้ในตอนกลางคืน ซึ่งการเปิดจะใช้ไม้ไผ่ท่อนยาว ๆ มาดันที่ปลายแล้วผลักบาน (ซึ่งน่าจะเรียกว่าประตู) นั้นขึ้นไป แล้วใช้ปลายไม้ไผ่อีกข้างหนึ่งค้ำลงไปในดิน เพียงเท่านี้ เราก็จะมีที่วิ่งเล่นที่ไม่มีผนังหรือบานประตูใด ๆ มาขวางกั้น มีเหมือนกัน ที่วิ่งไล่กันเพลินไปชนเอาไม้ค้ำ จนบานประตูฟาดลงมาเสียงดังสนั่น หลังจากนั้นก็จะได้ยินเสียงแม่ดังกว่าเสียงประตูเมื่อกี้เสียอีก พวกเราก็เลยต้องอพยพไปในไร่แตงโมข้างบ้าน รอให้แรงระเบิดทุเลาลง ค่อยกลับมาเล่นกันต่อ
ห้องเอนกประสงค์นี้ด้านหนึ่งเป็นชั้นเก็บของขนาดใหญ่ อีกด้านเป็นแคร่ไม้ยกพื้นสูงแค่สะโพก พื้นไม้สักขัดมันยาวตั้งแต่หน้าบ้านจนถึงหลังบ้าน เป็นทั้งที่ทำอาหาร ตั้งวงกินข้าว เป็นลานเด็กเล่น เป็นห้องรับรองแขกเมื่อมีเพื่อนบ้านมาหา นอกจากนี้ถ้าวันไหนมีอาคันตุกะมาค้างแรมเยอะ ตรงนี้ก็ใช้ไปโรงแรมห้าดาวได้อีกด้วย
บันไดทอดขึ้นชั้นบนอยู่ด้านข้างของตัวบ้าน เหมือนบ้านตามต่างจังหวัดทั่วไป ข้างบันได้ชั้นล่างวางอ่างล้างเท้าเป็นปูนรูปสี่เหลี่ยมมีแท่นอยู่ตรงกลางสำหรับให้เราขึ้นไปยืน แล้ว(ใช้เท้า)วักน้ำที่ล้อมอยู่รอบแท่นขึ้นมาล้างเท้า ก่อนขึ้นบ้าน
และอันนี้ก็เป็นงานประจำของชั้นอีกงานหนึ่งเช่นกัน คือตักน้ำมาเปลี่ยนในอ่าง...อย่าเข้าใจผิด ชั้นไม่ได้เป็นซินเดอเรลล่า ทำงานบ้านสารพัดอยู่เพียงคนเดียว เพราะที่กล่าวมาทั้งหมด น้อง ๆ ก็ต้องรับหน้าที่เหมือนกัน จะมาเกี่ยงว่าตัวเล็กตัวใหญ่ไม่ได้ เพียงแต่ตัวเล็กก็อาจทำน้อยหน่อย
บันไดทอดขึ้นสู่ระเบียงกว้างไม่มีหลังคา เป็นชานขนาดใหญ่ ซึ่งบางครั้งเราใช้เป็นที่นอนดูพระจันทร์ในคืนข้างขึ้น และดูดาวในคืนข้างแรม นี่คือความบันเทิงอีกอย่างยามค่ำคืน ถัดจากระเบียงมาเป็นห้องโถงยกพื้น ไม้ขัดมันมีฝาสามด้าน ด้านหนึ่งเป็นห้องนอน 2 ห้องของพวกพี่ (ลูกลุง) ฝาบ้านประดับไปด้วยภาพถ่ายขาวดำบุคคลในครอบครัวตั้งแต่รุ่นปู่ย่า...ลุงป้า..พ่อแม่ แล้วก็มาถึงรุ่นพวกเรา ซึ่งบางรูปก็แทบดูไม่ออกว่าใครเป็นใคร หน้าตาขี้เหร่หาที่เปรียบไม่ได้ แต่สิ่งที่ชั้นบังคับตัวเองทุกครั้งไม่ให้หันไปมองทั้งที่รู้ดีว่าสิ่งนี้วางสงบนิ่งอยู่อย่างนั้นมาตั้งแต่จำความได้ก็คือ โกฎิที่ตั้งเรียงรายอยู่ด้านนึงของฝาบ้านไม่ต่ำกว่า 4-5 อัน.....และห้องโถงนี้นี่เองที่เป็นโรงแรมห้าดาวของพวกเราทุกคราวที่ไปเยือนหัวหิน
บ้านตากอากาศของชั้นใช้พลังงานธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ คือยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ตอนหัวค่ำสิ่งบันเทิงของเราคือล้อมวงฟังผู้ใหญ่คุยกันถึงเรื่องต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องวิถีชีวิตทั่วไปของชาวบ้านแถวนั้น และความเป็นไปของญาติ ๆ ที่ไม่ได้เจอกันนานนับปี บางทีก็เป็นเรื่องในอดีตที่ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก เหตุผลอย่างหนึ่งที่เราต้องมาล้อมวงฟังอะไรที่ซ้ำ ๆ ด้วยสำเนียงชาวหัวหินดั้งเดิมแบบนี้ก็คือ กลัวผี (ทั้งที่ไม่ได้เล่าเรื่องผี)
พอตกดึก รอบ ๆ บ้านอันเป็นที่แสนสุขของพวกเราในตอนกลางวัน
จะกลายสภาพเป็นหนังสยองขวัญไปในทันที
บรรยากาสรอบบ้านปกคลุมไปด้วยความมืด เสียงจักจั่นที่แผดเสียงดังสนั่นไปทั้งราวป่า นาน ๆ ก็จะมีเสียงตุ๊กแกดังแทรกอยู่ใกล้ ๆ
บ้าน เป็น background
แสงสว่างที่มีอยู่ก็เป็นเพียงตะเกียงเจ้าพายุดวงเดียว
พอดึกมากเข้า ไอ้เจ้าตะเกียงซึ่งเป็นความหวังสุดท้ายของชั้นก็จะดับลง เพื่อเป็นการประหยัดทั้งน้ำมัน และยืดอายุไส้ตะเกียงให้นานขึ้น ตอนนี้ก็มีเพียงดาวบนฟ้าเท่านั้นที่ให้แสงสว่าง เสียงพูดคุยยังคงดำเนินต่อไป ยิ่งดึกเสียงนั้นก็ยิ่งกังวาลชัดอยู่ท่ามกลางความมืด ท่วงทำนองและน้ำเสียงแบบชาวพื้นเมืองแท้ ๆ ขอลุงกับป้าสลับกับเสียงของพ่อที่พูดคุยสอบถามถึงความเป็นไป ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการดำเนินชีวิตและการทำมาหากิน มันเป็นความยากลำบากที่พวกเค้าคุ้นเคยและไม่ได้ใส่ใจว่ามันเริ่มต้นมาเนิ่นนานแค่ไหน เค้าดำเนินชีวิตตามที่มันเป็น
พอดึกมากเข้า ไอ้เจ้าตะเกียงซึ่งเป็นความหวังสุดท้ายของชั้นก็จะดับลง เพื่อเป็นการประหยัดทั้งน้ำมัน และยืดอายุไส้ตะเกียงให้นานขึ้น ตอนนี้ก็มีเพียงดาวบนฟ้าเท่านั้นที่ให้แสงสว่าง เสียงพูดคุยยังคงดำเนินต่อไป ยิ่งดึกเสียงนั้นก็ยิ่งกังวาลชัดอยู่ท่ามกลางความมืด ท่วงทำนองและน้ำเสียงแบบชาวพื้นเมืองแท้ ๆ ขอลุงกับป้าสลับกับเสียงของพ่อที่พูดคุยสอบถามถึงความเป็นไป ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการดำเนินชีวิตและการทำมาหากิน มันเป็นความยากลำบากที่พวกเค้าคุ้นเคยและไม่ได้ใส่ใจว่ามันเริ่มต้นมาเนิ่นนานแค่ไหน เค้าดำเนินชีวิตตามที่มันเป็น
ชั้นพยายามข่มตาให้หลับภายใต้มุ้งสายบัวหลังเก่าสีหม่นแต่สะอาด ทุกคนพยายามจะนอนอยู่ตรงกลางระหว่างพ่อกับแม่เพื่อความอุ่นใจ แต่ถ้าพ่อยังคุยอยู่กับลุงอย่างนี้ ชั้นจึงต้องเป็นฝ่ายนอนข้างที่ว่างอยู่ ซึ่งแน่นอนจะไม่มีใครนอนคั่นระหว่างชั้นกับความมืดน่ากลัวนั่น บางคืนชั้นหลับไปได้ท่ามกลางเสียงพูดคุยของพ่อกับลุงก็จะเป็นโชคดี แต่ถ้าคืนไหนนอนไม่หลับ...เป็นอันว่าคืนนั้นชั้นจะต้องนอนหลับตาแน่น แต่ไม่สามารถข่มให้หลับอยู่อย่างนั้น (พร้อมกับไม่กล้ากระดุกระดิกด้วย) จนกว่าจะผล็อยหลับไปเอง
ความกลัว....มันคุกคามมากในความรู้สึกตอนนั้น และทุกคืนชั้นจะต้องถูกสะกดให้นอนไม่หลับเพื่อเผชิญกับความมืดเพียงลำพัง ชั้นเกลียดเวลาโพล้เพล้
พระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน นั่นหมายความว่า ความมืดที่น่ากลัวจะเป็นฝ่ายชนะอีกครั้ง
บทที่ 3
การเล่นน้ำทะเลเกือบจะเป็นกิจกรรมที่สนุกและตื่นเต้นที่สุดของพวกเรา วันแรก ๆ ที่ไปถึงเราแทบทนรอจนถึงบ่ายสี่โมงไม่ไหว บางวันถ้าพ่อใจอ่อนเราก็จะได้ไปเล่นน้ำทะเลตั้งแต่บ่ายต้น ๆ พ่อจะพาเราเดินลัดเลาะไปตามทางเดินเท้าเล็ก ๆ ซึ่งมีบ้านคนปลูกอยู่ห่าง ๆ กัน ข้างทางมีไม้พุ่มขนาดเล็กขึ้นระเกะระกะ กิ่งใบมันดูแห้ง ๆ บางต้นก็มีหนาม ถ้าเดินไม่ระวังก็อาจโดนมันข่วนเอาได้
เราเคยพยามที่จะใช้จักรยานเป็นพาหนะ เพราะระยะทางจากบ้านไปที่ทะเลก็เกือบกิโล แต่สุดท้ายก็ไม่เวิร์ก กลับมาใช้การ เดินเท้าเหมือนเดิมจะดีกว่า เพราะทางที่ว่าเป็นหลุมเป็นบ่อไปตลอดทาง ซึ่งจักรยานก็จะกลายเป็นภาระให้เราต้องลากจูงมันไปด้วยในที่สุด
พอพ้นแนวป่าเล็ก ๆ นั่น ก็จะเห็นบ้านพักตากอากาศเรียงรายอยู่ริมหาด ทะเลไม่ได้เป็นสีเขียวมรกตเหมือนพังงา กระบี่ น้ำไม่ได้ใสเป็นกระจกเหมือนสิมิลัน แต่มีหาดทรายขาวยาวเหยียดสุดลูกตา มีเรือประมงลำเล็กเกยอยู่ตามหาด มีเปลือกหอยเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่ว และมีดอกลั่นทมสีขาวกลิ่นหอมซึ่งเป็นสัญลักษณ์แสนโมแมนติกอย่างหนึ่งของหัวหิน
เราจะมีห่วงยางสีดำอันใหญ่ ได้มาจากยางในล้อรถ (ซึ่งน่าจะเป็นรถบรรทุก)
เป็นอุปกรณ์ประกอบการเล่นน้ำทะเลของพวกเรา
เราต้องผลัดกันแบกไอ้เจ้าห่วงยางอันมหึมานี้ไปด้วย เป็นระยะทางเกือบหนึ่งกิโลเพื่อไปเล่นน้ำทะเล พ่อจะมีหน้าที่ว่ายน้ำลากห่วงยางออกไป โดยมีพวกเราเกาะกันเป็นพรวนอยู่อย่างนั้น
พ่อมักจะแกล้งว่ายออกไปไกลมาก ๆ โดยไม่สนใจเสียงตะโกนห้าม
แข่งกับเสียงคลื่นของพวกเราว่า พอแล้ว ไกลเกินไปแล้ว
ซึ่งความจริงมันไม่ไกลอะไรนักหรอก
คุณคิดว่าพ่อจะสามารถว่ายน้ำทะเลที่คลื่นลมแรงมาก ๆ ในฤดูร้อน
โดยลากเอาพวกลิง 3-4 ตัวไปได้ไกลซักแค่ไหนกันเชียว
แล้วพ่อก็จะทิ้งพวกเราไว้อย่างนั้น และว่ายน้ำเข้าฝั่ง พวกเราก็จะตาลีตาเหลือกช่วยกันวักน้ำ (เป็นอาการของคนที่ตัวลอยอยู่ในน้ำด้านในของห่วงยาง
แล้วเอามือออกมาทำท่าเหมือนพายเรือ เพื่อจะไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
ซึ่งบางครั้งก็จะทำให้ห่วงยางหมุนเป็นวงกลมอยู่ที่เดิม เนื่องจากเราจะต่างคนต่างวัก) เพื่อจะตามพ่อไปให้ทัน
แต่สิ่งที่ทำให้เราเข้ามาถึงฝั่งได้
ไม้ใช่แรงวักน้ำไร้ทิศทางของพวกเรา แต่เป็นเพราะคลื่นลูกใหญ่ที่ทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ถาโถมเข้าหาฝั่งอย่างไม่รู้จักคำว่าเหนื่อยนั่นต่างหาก
เมื่อพระอาทิตย์เริ่มอ่อนแสง ลมแรง และความมืดเริ่มมาเยือน มันเป็นสัญญาณให้รู้ว่าเวลาแห่งความสนุกสนานกำลังจะสิ้นสุดลง ทุกอย่างดูเหมือนจะเปลี่ยนไปจากเดิมหน้ามือเป็นหลังมือ ตอนนี้เราต้องเดินตัวเปียกไปตามทางเดิมที่เราเดินมาตั้งแต่ทีแรก น้ำทะเลทำให้ตัวเราเหนอะหนะน่ารำคาญ ผมเผ้าติดหนึบอยู่ตามใบหน้าและลำคอ แถมยังมีสัมภาระหลายอย่างที่เราต้องช่วยกันแบกช่วยกันถือ เราต้องเดินผ่านพงหนามและทางเดินเล็ก ๆ นั่นอีกครั้ง รองเท้าแตะของเราน่ารำคาญเพราะมีก้อนแฉะ ๆ ของทรายที่ติดขึ้นมาตอนที่เราย่ำเท้าเดิน ในตอนนั้นสิ่งที่อยากได้ที่สุดคือน้ำจืดซักตุ่มใหญ่ ๆ เพื่อล้างเอาความเหนียวเหนอะหนะออกไป
บทที่ 4
เมื่อพระอาทิตย์เริ่มอ่อนแสง ลมแรง และความมืดเริ่มมาเยือน มันเป็นสัญญาณให้รู้ว่าเวลาแห่งความสนุกสนานกำลังจะสิ้นสุดลง ทุกอย่างดูเหมือนจะเปลี่ยนไปจากเดิมหน้ามือเป็นหลังมือ ตอนนี้เราต้องเดินตัวเปียกไปตามทางเดิมที่เราเดินมาตั้งแต่ทีแรก น้ำทะเลทำให้ตัวเราเหนอะหนะน่ารำคาญ ผมเผ้าติดหนึบอยู่ตามใบหน้าและลำคอ แถมยังมีสัมภาระหลายอย่างที่เราต้องช่วยกันแบกช่วยกันถือ เราต้องเดินผ่านพงหนามและทางเดินเล็ก ๆ นั่นอีกครั้ง รองเท้าแตะของเราน่ารำคาญเพราะมีก้อนแฉะ ๆ ของทรายที่ติดขึ้นมาตอนที่เราย่ำเท้าเดิน ในตอนนั้นสิ่งที่อยากได้ที่สุดคือน้ำจืดซักตุ่มใหญ่ ๆ เพื่อล้างเอาความเหนียวเหนอะหนะออกไป
บทที่ 4
น้ำประปายังมาไม่ถึง เราใช้น้ำจากคลองชลประทานสำหรับดื่มกิน ทำอาหาร
ล้างจาน ซักผ้าและอาบ แต่ก็ใชว่าเราจะใช้มันได้ทันทีโดยเปิดจากก๊อกเหมือนน้ำประปาที่ไหลมาตามท่ออย่างปัจจุบัน คลองชลประทานที่ว่า
อยู่ห่างจากบ้านไปทางทิศตะวันตกประมาณหนึ่งกิโล เรามีทางเลือกสองทางคือ เดินไปอาบน้ำที่คลองฯ
หรือไม่ก็เอารถรุนเอนกประสงค์ไปขนน้ำจากคลองเพื่อมาอาบที่บ้าน ส่วนใหญ่เราจะเลือกทั้งสองทางคือนั่งรถรุน
(ที่พ่อเป็นคนรุน) ไปอาบน้ำที่คลอง
และตักน้ำใส่ปี๊ป (หลายปี๊ป) กลับมาเติมตุ่มที่บ้าน
ตอนขาไปปี๊ปเปล่าสามารถวางซ้อนกันได้ พวกเรานั่งสบายไปบนรถ แต่ขากลับอาจต้องมีคนเสียสละเดินตามหลังรถรุนกลับมา แต่พวกเราก็สนุกที่ได้ช่วยพ่อรุนรถมาตามทางคดเคี้ยวที่เหมือนทางเกวียน บางวันถ้าเราเพลินเล่นน้ำในคลองเสียนาน ขากลับสองข้างทางก็จะเริ่มมืดโพล้เพล้ พวกเราก็จะเดินติดเกาะพ่อไปตลอดทาง บางครั้งพ่อก้แกล้งโดยการเข็นรถวิ่งหนี พวกเราก็วิ่งตามไม่คิดชีวิต โดยมีเสียงกรี๊ดดังลั่นตามไปด้วย
ตอนขาไปปี๊ปเปล่าสามารถวางซ้อนกันได้ พวกเรานั่งสบายไปบนรถ แต่ขากลับอาจต้องมีคนเสียสละเดินตามหลังรถรุนกลับมา แต่พวกเราก็สนุกที่ได้ช่วยพ่อรุนรถมาตามทางคดเคี้ยวที่เหมือนทางเกวียน บางวันถ้าเราเพลินเล่นน้ำในคลองเสียนาน ขากลับสองข้างทางก็จะเริ่มมืดโพล้เพล้ พวกเราก็จะเดินติดเกาะพ่อไปตลอดทาง บางครั้งพ่อก้แกล้งโดยการเข็นรถวิ่งหนี พวกเราก็วิ่งตามไม่คิดชีวิต โดยมีเสียงกรี๊ดดังลั่นตามไปด้วย
เรากลับถึงบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อน เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกออกหมดแล้ว พวกเราก็จะมาล้อมวงกินข้าวกัน แม่เป็นแม่ครัวทั้งสามมื้อ และตลอดการเดินทาง กว่าเราจะทำกิจกรรมในแต่ละวันเสร็จ อาหารเย็นของพวกเรามักล่วงเลยเวลาพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว เราจึงกินข้าวใต้แสงตะเกียงกันบ่อย ๆ
ถ้าวันไหนลุงยังกลับไม่ถึงบ้าน พ่อก็จะเอาตะเกียงน้ำมันมาจุดแทน เพราะการจุดตะเกียงเจ้าพายุต้องอาศัยผู้มีความรู้ทางเทคนิคโดยเฉพาะ (จุดไม่เป็น...) เปล่าหรอก..ความจริงแล้ว พ่อเกรงใจ ไม่อยากเอาตะเกียงอันใหญ่มาใช้ ในขณะที่ลุงก็เกรงใจและรู้ว่าพวกเราเป็นพวกมีอาการของโรคปอด (ชาวบ้านเรียก “ปอดแหก”) กลัวผี อยู่ในความมืดนาน ๆ ไม่ได้ มักจับตัวกันเป็นก้อน เหมือนพลาสติกโดนความร้อน
บางคืนที่ฟ้าโปร่งมองเห็นดาว พ่อจะพาพวกเราไปนั่ง-นอนเล่นริมทะเล
บางครั้งพ่อจะฮัมเพลงที่ไม่เหมือนที่เราเคยฟัง
เราจะต่อว่าพ่อต่าง ๆ นานา ว่าร้องเพลงอะไร ไม่เห็นรู้จักเลย
หรือบางทีพ่อก็จะเป่า Mouth Organ เป็นเพลงที่เราไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน
แต่พอนานวันเข้า เราก็จะคุ้นเคยและไม่เคยถามพ่ออีกเลยว่า “เพลงอะไร”
(เพราะพ่อก็คงไม่รู้เหมือนกัน!!!)
1 ความคิดเห็น:
บ้านสวยดีครับ.
แสดงความคิดเห็น