วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ความทรงจำในวัยเด็กที่หัวหิน (2) Memory of Hua Hin Beach (2)


เขียนเมื่อ  มกราคม 2551 (ยังไม่ได้ซื้อบ้านที่หัวหิน)


เรายังคงผูกพันอยู่กับหัวหิน ปีนึงปีนึง เราพี่น้องสลับกันไปเที่ยวไปนอนไปกินอยู่หัวหิน ไม่ต่ำกว่า 5-6 ครั้ง ถึงขนาดหน่อยกับน้าอุ้ยซื้อ Condo อยู่เขาตะเกียบ เสียดายที่พ่อไม่ได้อยู่เห็นความรุ่งเรืองของลูกสาวคนเล็ก  ส่วนชั้นกับครอบครัวก็มักไปนอนอยู่ Majestic เป็นประจำ มีครั้งนึงได้ไปนอนห้อง Suit  ติดทะเล ตื่นเช้าขึ้นมาก็เห็นพระอาทิตย์ขึ้นโดยไม่ต้องลุกออกจากที่นอน  ทำให้นึกถึงตอนที่มาหัวหินกับพ่อเมื่อยังเล็กอยู่


พ่อมักเรียกให้พวกเราตื่นกันแต่เช้าเพื่อเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเล  ในมุมนึงมันอาจเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ซึ่งคนอื่นอาจไม่ได้สนใจ  แต่พ่อได้สอนให้เรารู้จักอีกมุมมองนึงของชีวิตว่า ถ้าเรารู้จักแสวงหา....   ความสุขก็ไม่ได้อยู่ไกลจนเกินจะเอื้อม  และการแสวงหานั้นก็ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมากมายนัก   การเฝ้ามองดูแสงแรกของตะวัน  สาดส่องสู่โลกทำให้เรารู้จักกับสัจธรรมและรู้จักคิดอะไรได้มากมาย  สุดแต่ว่าใครจะเห็นถึงความหมายของมันอย่างไร


ทุกวันนี้ เมื่อมีโอกาสได้ไปเดินเล่นที่ชายหาดในตอนเช้า  ชั้นยังคงไปแอบพลิกดูเจ้าปูหินตัวน้อยที่แอบอยู่ใต้ก้อนหิน และนึกถึงเวลาที่เรามาเดินดูพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้ากับพ่อ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นพ้นขอบน้ำและสาดแสงแรกให้เราเห็นแล้ว  พ่อมักพาเราเดินไปดูตามโขดหินเล็ก ๆ พลิกดูปูหินกับเจ้าปลาตัวเล็กที่ติดอยู่ตามแอ่งตอนที่น้ำขึ้นในตอนกลางคืนและว่ายกลับลงไปไม่ทันเมื่อน้ำลงในตอนเช้า  พ่อมักสอนให้เราหาความสุขจากสิ่งที่ไม่ต้องซื้อหา  ซึ่งมันรายล้อมอยู่รอบตัวเรา 


เมื่อถึงเวลาเล่นน้ำทะเล (หลังจากพ่อตื่นนอนตอนบ่ายแล้ว) พ่อมักพาเราเดินไปตามทางที่ขรุขระคดเคี้ยวเพื่อไปยังชายทะเลที่อยู่ไกลออกไป นอกจากต้องเดินผ่านทางที่ ย่ำแย่และ ไกลโขแล้ว  เราต้องเดินข้ามทางน้ำเล็ก ๆ ก่อนไปถึงชายหาด  ซึ่งชั้นเกลียดขั้นตอนนี้มาก  มันเป็นทางน้ำที่พ่อเรียกมันว่าลำประโดง ซึ่งชั้นคิดเอาเองว่า น้ำที่ไหลมานั้นคงเป็นน้ำเสียที่ออกมาจากบ้านเรือนต่าง ๆ แล้วทิ้งลงสู่ทะเล  ถึงแม้มันจะเป็นน้ำใส ๆ ไม่ได้ดูสกปรกอะไรมากมาย   และต้องไหลลงไปรวมกันอยู่ในทะเล และเราก็ต้องลงไปแช่อยู่ในน้ำนั้นอยู่แล้วก็ตามที  แต่จำได้ว่า  ชั้นจะพยายามกระโดดข้าม หรือไม่ก็มองหาขอนไม้หรือลูกมะพร้าว เพื่อเหยียบลงไปบนเจ้าสิ่งนั้น แทนที่จะต้องย่ำลงไปซึ่งจะทำให้เท้าและขาของชั้นต้องแช่ลงไปในน้ำ    แต่พ่อจะไม่ใส่ใจกับมันมากนัก  เพราะพ่อจะย่ำลงไปในทางน้ำเหมือนมันเป็นทางเดินธรรมดาที่เราเดินมาตลอดทาง  แล้วมุ่งสู่ชายหาดที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้า  

พอไปถึงหาด  เราจะวางสัมภาระต่าง ๆ ไว้บนพื้นทราย  แล้วก็เดินเก็บเปลือกหอยกันไปตามชายหาด เมื่อยังเด็ก  แม่มักมาทะเลกับเราด้วย  ชั้นยังไม่เคยเห็นแม่เล่นน้ำทะเลเลยซักครั้ง  แม่มักมาเดินเล่นเก็บเปลือกหอยหรือไม่ก็นั่งคุยกับพี่ ๆ ลูกของลุงดูพวกเราเล่นน้ำ  ในตอนนั้นทะเลหัวหินมีหอยทับทิมมากมายกระจายเกลื่อนอยู่ตามหาด


เราก็จะเลือกเก็บเฉพาะตัวที่มีขนาดใหญ่และสีเข้มจัด เพราะมันจะดูมีค่ามากกว่าเจ้าตัวเล็ก ๆ สีชืด ๆ เหล่านั้น ซึ่งดูธรรมดาไม่น่าสนใจ  จนกว่าเราจะกวาดตาไปเจอเข้ากับเปลือกหอยจุ๊บแจงตัวสวย 


คนที่เจอมักร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้น เพราะเราจะไม่พบเห็นมันบ่อยนักโดยเฉพาะตัวที่ไม่มีรอยแตกหักเสียหาย  บางครั้งพ่อจะเก็บเอาเปลือกหอยรูปร่าง กลม มน ผิวเกลี้ยง ๆ แล้วก็มีสีเข้มเป็นจุดกลมอยู่ตรงกลางเหมือนลูกกะตามาให้  พ่อบอกว่ามันคือหอยตาวัว  หายากนะ  นั่นเป็นการเน้นย้ำให้เราเก็บมันไว้และใส่ลงในถุงเป็นอย่างดี  แต่ก็ยังสงสัยอยู่จนทุกวันนี้ว่า  มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเปลือกหอยหรือเปล่า เพราะรูปร่างหน้าตามน ๆ เกลี้ยง ๆ ไม่มีช่องหรือโพรงพอที่จะให้ตัวหอยเข้าไปอาศัยอยู่ได้ซักนิด  ปัจจุบัน ชายหาดหัวหินไม่มีหอยทับทิมให้เห็นดาษดื่นเหมือนที่เคยเป็น  ไม่น่าเชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงอันน่าใจหายนี้จะเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาไม่นานเลย

พอเดินเก็บเปลือกหอยไปไกลจนเริ่มเมื่อย  เราก็มักชวนกันลงเล่นน้ำทะเล  คราวนี้ ถึงเวลาที่เจ้าห่วงยางจอมปัญหาจะกลายเป็นของเล่นชิ้นพิเศษ  ที่คนที่เล่นน้ำอยู่ใกล้พวกเราไม่มีใครมีและไม่มีใครอีกแล้วที่จะสนุกสนานได้เหมือนพวกเรา  เราจะรู้สึกรักใคร่มันอย่างไม่เคยเป็น (ต่างกับความรู้สึกในตอนที่แบกอุ้มมันมาจากบ้านอย่างลิบลับมันทำให้เราสนุกสนานอยู่เหนือเกลียวคลื่นอย่างไม่รู้เบื่อ  ความรู้สึกนี้คงคล้ายกับเด็กที่ได้เล่น Slider ในยุคนี้ แต่ในยุคของเรา  แค่นี้.........ก็สนุกอย่างที่สุดและไม่เคยคิดว่าจะมีอะไรสนุกสนานเท่านี้อีกแล้ว


เราดำผุดดำว่าย ลอยคออยู่อย่างนั้น  ภาพที่เห็นจนชินตาก็คือเราจะเอามือข้างนึงเกาะเกี่ยวห่วงยางอันใหญ่สีดำอยู่ด้วยกันตลอดเวลา  เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่จมลงไปเมื่อคลื่นลูกใหญ่โถมเข้ามาหา  บางครั้งพ่อก็ว่ายน้ำออกไปไกลโดยลากเอาเจ้าห่วงยางอันใหญ่ที่มีพวกเราเกาะกันเป็นพรวนออกไปด้วย  พวกเราจะร้องโวยวายบอกพ่อว่าให้พอได้แล้ว  เราออกมาไกลและน้ำก็ลึกมากแล้ว   แต่พ่อกลับสนุกที่ได้แกล้งพวกเราอย่างนั้น  พ่อว่ายน้ำลากห่วงยางออกไปในทะเลอีกพร้อมกับหัวเราะสนุก พร้อมกับทำเสียง พุ้ย พุ้ย เพื่อพ่นน้ำทะเลออกจากปากตลอดเวลา 

บางทีเราก็เบื่อที่ต้องเกาะเกี่ยวอยู่บนห่วงยาง  พ่อก็จะสอนวิธีเล่นน้ำทะเลแบบใหม่ให้เรา  คือการโต้คลื่นอยู่ริมหาด  โดยเลือกยืนในทำเลที่คลื่นแรงที่สุด  แล้วเมื่อคลื่นลูกใหญ่โถมเข้ามา  เราจะเอนหลังเข้าใส่ให้คลื่นกระแทกตัวเราอย่างสนุกสนาน  นี่แหละ...ความสุขที่มีอยู่รอบตัว” ……....

เมื่อเวลาแห่งความสนุกสนานสิ้นสุดลง  ความ เซ็งก็จะเข้ามาแทนที่ในบัดดล  เมื่อเราก้าวขึ้นจากทะเล  อากาศรอบข้างเริ่มเย็นลงเนื่องจากพระอาทิตย์ยอแสงลงมากแล้ว  ลมทะเลยังคงพัดปลิวอยู่เหมือนเคย  แต่เรารู้สึกเหมือนว่าลมมันพัดแรงมากกว่าเมื่อตอนเราเดินเก็บเปลือกหอยกันอยู่  เนื้อตัวเหนียวไปด้วยน้ำทะเล  ผมเผ้าที่ปลิวเพราะแรงลม  ติดหนึบอยู่ตามใบหน้า ตามแก้มและลำคอ    บ่อยครั้งที่เราพยายามจะไม่สนใจและปล่อยให้มันเกาะหนึบอยู่อย่างนั้น แต่ในที่สุดเราก็ทนความรำคาญไม่ไหว ต้องเอามือข้างที่ว่างอยู่ (ถ้าเราต้องเป็นคนแบกห่วงยางหรือถือเสื้อผ้าที่ยังไม่เปียก) มาแกะเอาผมเจ้ากรรมนั้นออกจากเนื้อตัวหน้าตา  เพื่อให้พ้นจากความรำคาญนั้นเสียที  แต่ก็เป็นเพียงชั่วคราว  เพราะไม่นานนักมันก็จะปลิวมาติดหนึบบนหน้าเราอีกจนได้

เราต้องเดินย่ำไปบนทางน้ำไหลอีกครั้งเพื่อกลับบ้าน  ชั้นต้องกลับมารู้สึกแขยงกับความสกปรกเนื่องจากคิดถึงที่มาของน้ำที่ไหลผ่านไปอีกครั้ง  แต่ครั้งนี้บางทีมันก็มีความรู้สึก ดีปนอยู่ด้วย   เป็นความรู้สึก ดีที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่แล้วหายไป  ชนิดที่ถ้าไม่สังเกตก็คงไม่รู้  อาจเป็นเพราะความหนาวจากตัวเปียกและลมแรง  เมื่อได้มาสัมผัสกับความอุ่นของน้ำที่เราย่ำผ่าน  ทำให้เรารู้สึก เหมือนจะดีขึ้นมาซักนิดหนึ่ง  ถึงแม้ไม่ใช่ความรู้สึกประทับใจยิ่งใหญ่อะไร  แต่มันก็จะทำให้จดจำรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผ่านมาได้ถึงทุกวันนี้  ปัจจุบันทางระบายน้ำเล็ก ๆ ก่อนออกสู่ทะเลนี้ คือส่วนหนึ่งของสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตต์ เป็นสวนสาธารณะติดทะเลแห่งหนึ่งของหัวหิน น่าแปลกใจที่ยังมีที่ดินติดทะเลที่เป็นที่สาธารณะขนาดใหญ่แบบนี้

เราต้องเดินตัวเหนียวอย่างนั้นไปอีกไกลกว่าจะกลับถึงบ้าน  บางครั้งเราอยากถอดไอ้เจ้ารองเท้าแตะที่ใส่เดินมาจากบ้านแล้วหิ้วมันไปให้รู้แล้วรู้รอด  แต่เพราะพื้นดินที่เราเดิน  มันไม่มีความราบเรียบเกลี้ยงเกลาให้เราเดินเท้าเปล่าได้เลย  แถมหินที่โผล่ตะปุ่มตะป่ำขึ้นมาจากพื้นดิน รากหญ้าที่แข็ง และกรวดทราย รวมทั้งพงหนามของต้นไม้แห้ง  ทำให้เราต้องทนใส่รองเท้าแตะน่ารำคาญนั้นมาตลอดทาง  นอกจากมันจะเปียกน้ำทะเลจนเหนอะหนะไม่น่ารื่นรมณ์แล้ว  มันยังพลอยลากเอาดินทรายตามทางที่เราเดินผ่านติดขึ้นมาด้วย   และในที่สุดทรายเจ้ากรรมที่ดูมีเสน่ห์เหลือหลายตอนที่เราเดินเก็บเปลือกหอยกันอยู่ริมหาด  ก็จะกลับกลายเป็นสิ่งที่คอยรังควาญเราไปตลอดทาง  เนื่องจากมันจะกลายเป็นก้อนน่ารำคาญอยู่ระหว่างฝ่าเท้ากับรองเท้าแตะคีบสีน้ำเงินคู่กาย 
แล้วก็ยังมีเจ้าห่วงยางสีดำอันใหญ่   ซึ่งตอนขามาเราช่วยกันแบกหามมันจากบ้านอย่างทุลักทุเลแต่เปี่ยมไปด้วยความรักใคร่  แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นภาระอันหนักอึ้ง  ที่พวกเราต้องผลัดกันแบกผลัดกันหามไปตลอดทาง  ดูมันช่างเอาเปรียบเราเสียจริง  ขากลับจากทะเลจึงดูเหมือนเป็นสิ่งที่พวกเรา "ไม่ชอบ" มันมากที่สุดใน Trip ฤดูร้อนที่หัวหินของพวกเรา  

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก